
โดยปกติแล้วการทำงานของระบบการทำความเย็นภายในห้องโดยสารของแอร์รถยนต์นั้นเป็นส่วนหนึ่งของการปรับอากาศให้มีความเย็นที่เหมาะสมนั่งภายในรถแล้วสบายระบบการหายใจที่คล่องขึ้น แต่ในสิ่งที่กล่าวมานี้ก็จะขึ้นอยู่กับระบบปรับอากาศภายในห้องโดยสารด้วยว่ามีความสะอาดมากน้อยขนาดไหน ในส่วนนี้เองระบบการทำความเย็นนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องมีการทำความสะอาดทุกๆ 1 - 2 ปี
แต่ในปัจจุบันนั้น รถยนตจะมีอยู่ 2 ภาคด้วยกันคือ
ภาคหนึ่ง รถยนต์ตั้งแต่สมัยก่อนโน้นจนถึงปี คศ. 2000 นั้นจะไม่มี ฟินเตอร์แอร์ หรือ แอร์ฟินเตอร์ แล้วแต่คนจะเรียกกันนะครับ ( Air Filter ) คือตัวกรองฝุ่นละเอียด ภายในห้องโดยสารเพื่อให้อากาศที่ออกมานั้นสดชื่นและไม่มีเศษฝุ่นไปหมักหมมที่ตู้แอร์หรือที่เรียกกันว่า อีวาโปเรเตอร์ ( Evaporative )
ภาคสองคือ รถยนต์ตั้งแต่ปี คศ. 2000 ขึ้นมานั้นจะมี กรองฟินเตอร์แอร์ ( Air Filter ) รถจำพวกนี้จดีขึ้นมามากพอสมควรครับเพราะจะช่วยกรอง เศษฝุ่นละเอียดก่อนที่จะเข้าไปถึงตู้แอร์ครับ ก็จะดีตรงที่ว่า ไม่ต้องล้างตู้แอร์บ่อย แต่เปลื่ยนตัว ฟินเตอร์แอร์ ทุก ๆ 20,000 KG.แทนที่ครับ
เราก็จะมาพูดเกี่ยวกับรถก่อน ปี คศ. 2000 นะครับ เพราะรถที่กล่าวมานี้จำเป็นที่จะต้องล้างตู้แอร์ ทุก ๆ 1 - 2 ปีครับจำเป็นที่จะต้องล้างแอร์รถยนต์ เพื่อทำความสะอาดเช่นเดียวกับแอร์บ้าน โดยเฉพาะท่านที่ซื้อรถยนต์มือสอง นั้นควรทำเป็นอย่างยิ่งเพราะจะต้องมองไว้ก่อนว่าระบบการหายใจมันเป็นสิ่งสำคัญต่อสุขภาพของตัวเราเองและผู้ที่นั่งรถยนต์ของท่านไปด้วยในขณะเดินทางอยู่นั้น เนื่องจากสภาพท้องถนนของบ้านเราเมืองเรานั้นเต็มไปด้วยมลภาวะต่างๆ เช่น ฝุ่นละออง และ ควันจากท่อไอเสีย ซึ่งจะทำให้คอยล์เย็นหรือ อีวาโปเรเตอร์ ( Evaporative ) อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ผลิตความเย็นภายใน ห้องโดยสารของรถยนต์ กลายเป็นแหล่งเก็บฝุ่นละออง กลิ่นและคราบสกปรกต่างๆ ยิ่งไปกว่านั้นมันจะเป็นที่เพาะเชื้อรา และแบคทีเรียหลายชนิดซึ่งจะเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ก็จะเป็นส่วนหนึ่งในสาเหตุของการ ไอ จาม และโรคภูมิแพ้ต่างๆได้
การทำความสะอาดล้างตู้แอร์รถยนต์ นี้ ช่วยขจัดกลิ่นอับ ด้วยน้ำยาล้างของระบบทำความเย็นของตู้แอร์ที่มีประสิทธิภาพ และในการทำความสะอาดนั้นจะกำจัดเชื้อโรคและสิ่งสกปรกต่างๆ ที่เป็นสาเหตุของกลิ่นไม่พึงประสงค์ การทำความสะอาดระบบแอร์จะช่วยให้การหมุนเวียนของอากาศดีขึ้น และจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำความเย็นให้ดีขึ้นเย็นเร็วขึ้น ( แต่ก็จะขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ภายในรถยนต์นั้น ๆ ด้วยครับ ) ซึ่งก็จะทำให้ประหยัดพลังงานของเครื่องยนต์ได้ส่วนนึ่งด้วยครับ
การล้างตู้แอร์หรือ อีวาโปเรเตอร์ ( Evaporative ) นั้นก็จะมีอยู่ 2 แบบด้วยกันคือ
แบบที่ 1 ถอดอุปกรณ์ภายในออกเพื่อนำตู้แอร์ออกมาทำความสะอาดให้หมดจดและเป็นการเช็ครั่วไปในตัวและสามารถดูได้ด้วยว่า อุปกรณ์ตัวไหนที่เสื่อมสภาพนั้นก็สมควรที่จะเปลื่ยนในคราวเดียวจะได้ไม่สิ้นเปลื้องในครั้งต่อไป
แบบที่ 2 คือเป็นการล้างตู้แอร์โดยไม่ต้องถอดออกมาทำความสะอาดแต่ใช้กล้องส่องเข้าไปข้างในแล้วใช้น้ำยาฉีดเข้าไปข้างในเพื่อทำความสะอาดตู้แอร์ให้สะอาดครับ
ทั้ง 2 ระบบนี้ก็จะมีทั้งข้อดีและเสียในตัวเดียวกันน่ะครับ
ถ้าเป็นแบบที่ 1 นั้นจะเป็นการเสียค่าใช้จ่ายมากกว่าแบบที่ 2 ครับ และที่สำคัญคือเป็นอย่างมาก ต้องหาช่างที่มีฝีมือในการทำแบบที่ 1 คือนำตู้แอร์ออกมาล้างข้างนอกครับ เพราะเวลาประกอบเข้าไปแล้วจะต้องสนิทเหมือนเดิมและไม่มีเสียงจิ้งลี้ดตามมาหรือเสียงรบกวนนั้นเองครับ แต่ในแบบที่ 1 นั้นจะได้ความสะอาดและได้เช็คอุปกรณ์ทั้งหมดด้วยครับ
ถ้าเป็นแบบที่ 1 นั้นจะเป็นการเสียค่าใช้จ่ายมากกว่าแบบที่ 2 ครับ และที่สำคัญคือเป็นอย่างมาก ต้องหาช่างที่มีฝีมือในการทำแบบที่ 1 คือนำตู้แอร์ออกมาล้างข้างนอกครับ เพราะเวลาประกอบเข้าไปแล้วจะต้องสนิทเหมือนเดิมและไม่มีเสียงจิ้งลี้ดตามมาหรือเสียงรบกวนนั้นเองครับ แต่ในแบบที่ 1 นั้นจะได้ความสะอาดและได้เช็คอุปกรณ์ทั้งหมดด้วยครับ
แต่ถ้าเป็นระบบที่ 2 คือจะได้ความรวดเร็วทันใจไม่สิ้นเปลืองแต่ ไม่สะอาดเท่าแบบที่ 1 ครับและอาจจะมีสารตกค้างอยู่ในตู้แอร์ คำว่าสารตกค้างนั้นคือ น้ำยาที่ใช้ล้างตู้แอร์นั้นเองครับ ( อย่าลืมว่าในตู้แอร์นั้นจะมีทั้งโฟมทั้งฟองน้ำ ที่ทำยังไงก็ฉีดออกมาไม่หมดครับ ) และนี้คือสิ่งเปรียบเทียบครับว่าจะล้างแบบไหนดี
ด้วยความห่วงใยและปรารถนาดี จากร้าน GAPCARWASH DETAILCENTER ครับ
By. โต้ง GAPCARWASH DETAILCENTER
By. โต้ง GAPCARWASH DETAILCENTER