
สำหรับคนรักรถ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ‘รถยนต์’ เปรียบเสมือนลูกรักของคุณก็ไม่ปาน ต้องดูใหม่ สะอาด และดูดีอยู่เสมอ เผลอๆสะอาดกว่าห้องนอนของคุณเองซะอีก ซึ่งโดยปกติแล้วสารเคมีที่นำมาทำสีรถยนต์นั้น ทนต่อสภาพแวดล้อมได้ดีในระดับนึงอยู่แล้วค่ะ แต่ถ้าหากเราดูแล บำรุงรักษาอย่างถูกวิธี จะช่วยให้สภาพของรถไม่เสื่อม และอยู่กับเรานานมากขึ้นไปอีก
1. การจอดรถ ควรจอดรถไว้ในที่ร่มขณะที่ไม่ได้ใช้งาน ที่จอดรถก็ควรจะมีหลังคากำบังด้านบนเพื่อป้องกันแสงแดดในเวลากลางวันที่ค่อนข้างจ้าและแรง ซึ่งมีผลทำให้สีของรถเสื่อมสภาพและหมดอายุการใช้งานเร็วกว่าปกติซึ่งดูได้จากความซีดจางของสี และในเวลากลางคืนสำหรับที่จอดรถที่มีหลังคาก็คือสามารถป้องกันน้ำค้างในเวลากลางคืน ซึ่งน้ำค้างเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดรอยด่างของสีรถได้
2. การจอดข้างทาง หากท่านจำเป็นต้องจอดรถข้างทางหรือริมทางเท้านั้น ไม่ว่าจะเป็นการทำธุระใดๆชั่วคราวก็แล้วแต่เพื่อป้องกันการชน เฉี่ยว จากรถที่อยู่ด้านหลังหรือรถอื่นที่ขับตามหลังมาด้วยความเร็ว ซึ่งอาจจะทำให้สีรถได้รับความเสียหายได้ ควรจะจอดให้ชิดขอบทางที่สุดเพื่อให้พ้นรัศมีของการชน เฉี่ยว ให้มากที่สุด แต่ท่านก็ควรจะระวังด้านที่ติดกับขอบทางหรือชิดทางเดินเท้านั้นด้วยก็แล้วกัน เพราะถ้ามัวแต่ห่วงด้านที่จะถูกเฉี่ยวอยู่ละก็อาจจะได้แผลใหม่ๆแทนจากฝีมือของตัวเองเพราะจานล้อหรือขอบประตูล่างชนกับริมทางเดินขณะเปิดรถก็ได้
3. การจอดรถใต้ต้นไม้ ต้นไม้นับว่าให้ร่มเงาที่ดีในการหลบแดดเวลาจอดรถ แต่ก็ควรระวังบ้างเวลาจอดรถใต้ต้นไม้ เพราะ ต้นไม้ที่ให้ร่มก็มีทั้งประเภทที่ให้คุณและให้โทษต่อสีภายนอกของรถ เช่น ต้นไม้บางชนิดอาจมียาง ลูกไม้ หรือเกษรดอกไม้หล่นมาถูกรถทำให้สีด่างได้ อาทิ ต้นยางอินเดีย ซึ่งถ้าเกิดปัญหานี้แล้วอาจจะทำให้ยุ่งยากในการดูแลและทำสีใหม่
4. การจอดรถกลางแดดจ้า ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องจอดรถกลางแจ้งที่มีแดดจัดนั้น ก็คงต้องทำใจกันเสียแล้ว โดยเฉพาะรถยนต์ใหม่ๆนั้น กรณีที่ใช้งานเป็นประจำและต้องจอดรถไว้กลางแดดเป็นเวลานานๆทั้งวัน และยิ่งจอดทุกวันด้วยแล้ว แสงแดดจะเป็นตัวทำให้สีรถซีดเร็ว ทำให้ดูเหมือนรถจะเก่าเร็วกว่าปกติ แถมยังทำให้เสียเวลาเพราะฉะนั้นจึงควรจะหาผ้าคลุมรถไว้ก็จะดีมาก นอกจากนี้ยังช่วยรักษาเบาะนั่งและอุปกรณ์ภายในรถด้วย
5. การเปิดประตูรถยนต์ ขณะ ที่จะลงจากรถทุกครั้ง การเปิดประตูรถยนต์ควรมองซ้าย-ขวา-หน้า-หลังก่อนว่ามีสิ่งกีดขวางที่จะทำให้ รถคันอื่นหรือสิ่งของต่างๆมาปะทะชนหรือขูดให้สีถลอกได้หรือไม่ หรือเมื่อรถจอดคู่กันอยู่ระวังอย่าให้ประตูรถถูกสีกันได้ เพราะร่องรอยเช่นนี้ แม้เป็นรอยเล็กๆน้อยๆ แต่ก็สร้างความรำคาญตาจนอยากจะกลับไปทำสีใหม่มาเสียเลยได้เหมือนกัน
6. ความสกปรกที่มาจับรถ ถ้า มีฝุ่นหรือโคลนติดที่ตัวถังรถ ท่านทราบหรือไม่ว่าสิ่งเหล่านี้จะดูดความชื้นได้ง่าย จะทำให้ผิวของสีรถเสื่อมและขาดความเป็นเป็นเงามัน สีจะซีดจาง บางครั้งก็จะเกิดการแตกร้าวได้ง่าย ถ้าฝุ่นจับที่ไม่สกปรกเกินไปก็ให้ใช้ไม้ขนไก่นุ่มๆปัดทุกวัน แต่ถ้าไม้ขนไก่ยังไม่สามารถทำความสะอาดตัวถังรถได้เนื่องจากฝุ่นโคลนนั้นติด แน่นเกินไป ก็ให้ใช้ผ้าอ่อนๆชุบน้ำเช็ดอย่างระมัดระวัง เพราะฝุ่นจะมีละอองหินหรือสิ่งที่แข็งติดอยู่ แต่อย่าเช็ดหรือถูแบบแรงๆเด็ดขาด เพราะแรงถูจะทำให้สีเป็นรอยขีดข่วนได้
7. ล้างรถด้วยน้ำเปล่า ดัง ที่ได้เคยแนะนำไปตั้งแต่ต้นในเรื่องของการล้างทำความสะอาดรถที่ถูกวิธีแล้ว ว่า ไม่ควรล้างรถโดยผสมผงซักฟอกหรือสบู่ต่างๆ และแม้กระทั่งน้ำที่ใช้ล้างก็ห้ามใช้น้ำร้อนหรือน้ำอุ่นเด็ดขาด เพราะสิ่งเหล่านี้มีคุณสมบัติเป็นด่างมากๆ ซึ่งจะส่งผลทำให้สีของรถยนต์เป็นรอยด่างไม่เท่ากันจนหมดความงานได้
8. การเช็ดรถหลังล้าง เมื่อล้างรถทุกครั้ง เป็นที่ทราบกันดีว่าขั้นตอนสุดท้ายของการล้างรถนั้นก็คือ การเช็ดรถให้แห้งเพื่อไม่ให้น้ำเกาะติดตัวถังรถ และควรใช้ผ้าแห้งที่นุ่มและสะอาดเช็ดให้แห้ง อย่าใช้วิธีให้แห้งโดยการจอดไว้กลางแสงแดดหรือตากลมจนแห้งเองเด็ดขาด เพราะสีจะเกิดคราบด่างจากน้ำที่เป็นเม็ดๆที่เกาะอยู่กับตัวถังรถจะทำให้เกิด คราบด่าง ยิ่งถ้าอาการหนักมากๆ คือ ทำบ่อยๆโดยจอดไว้กลางแดดนั้นสีรถก็อาจจะซีดเป็นจุดๆวงๆไม่น่าดูไปเลย
9. อันตรายจากน้ำขังตามขอบประตู ใน การล้างทำความสะอาดรถนั้น พยายามอย่าทิ้งให้น้ำขังตามขอบประตู หรือรูช่องขอบประตู ซึ่งน้ำจะทำให้เกิดสนิมและกัดกร่อนสีรถ ทำให้สีพองเสียหาย ดังนั้น ทุกครั้งที่ล้างหรือเช็ดรถควรเช็ดน้ำตามขอบประตูให้แห้งด้วย แม้จะเป็นจุดที่ถูกมองผ่านบ่อยครั้ง แต่ก็เป็นจุดสำคัญในการถูกทำลายสีได้ง่ายเช่นกัน เพราะฉะนั้นไม่ควรที่จะมองข้ามกับสิ่งหมักหมมเล็กๆน้อยๆเช่นนี้
10. ใช้ครีมเคลือบสีเพิ่มความทนทานให้สีรถ นอกจากการล้างรถจะทำให้รถดูสะอาดตาน่ามองแล้ว ถ้าใช้ครีมหรือน้ำยาขัดสีเคลือบตัวถังไว้ด้วยก็น่าจะดี เพราะเป็นการช่วยให้รถดูเงางามและยังปกป้องสีให้ทนทานด้วย แต่ข้อควรระวังก็คือกระบวนการดังกล่าวควรจะทำในร่ม ไม่ควรทำขณะที่รถตากแดดอยู่เพราะสีมีโอกาสที่จะทำปฏิกิริยากับน้ำยาขัดสีรถ ได้ แต่ก็ควรป้องกันไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัยเช่นกัน
11. ระยะเวลาในการล้างรถและขัดเคลือบสี ควรล้างรถและขัดเคลือบสีอย่างน้อยเดือนละครั้ง ไม่ควรจะทำบ่อยจนเกินไปหรือน้อยเกินไป และไม่ต้องกลัวว่าถ้าเดือนละครั้งจะไม่พอ เพราะว่าสีรถนั้นถ้าได้รับการขัดเคลือบบ่อยๆ น้ำยาก็อาจจะทำลายสีรถแทนที่จะถนอมสีรถแทน หรือหากว่าทิ้งห่างในการใช้ยาขัดสีรถจาก 2-3 เดือนต่อครั้ง รถก็จะดูแวววาวเป็นพักๆ ไม่ต่อเนื่อง เพราะฉะนั้น ขัดสีรถเดือนละครั้งจึงเป็นระยะเวลาที่เหมาะสมที่สุดแล้ว
12. ขัดเคลือบสีกลางแสงแดด เป็น ข้อห้ามที่ไม่ควรจะกระทำเด็ดขาดหากท่านจะขัดเงาสีรถยนต์ของท่านด้วยน้ำยาขัด สีท่ามกลางแสงแดดเพราะขนาดจอดรถไว้กลางแดด สีรถก็ยังถูกทำลายให้ซีดลงได้และถ้าหากขัดสีขณะที่รถจอดตากแดดอยู่ละก็สาร เคมีในน้ำยาก็ยิ่งทำปฏิกิริยากับสีรถ ทำให้สีเกิดความเสียหายเร็วและง่ายขึ้นไปอีก เพราะอาจจะทำให้รถเป็นรอยด่างหรือสีหลุดได้
12. ขัดเคลือบสีกลางแสงแดด เป็น ข้อห้ามที่ไม่ควรจะกระทำเด็ดขาดหากท่านจะขัดเงาสีรถยนต์ของท่านด้วยน้ำยาขัด สีท่ามกลางแสงแดดเพราะขนาดจอดรถไว้กลางแดด สีรถก็ยังถูกทำลายให้ซีดลงได้และถ้าหากขัดสีขณะที่รถจอดตากแดดอยู่ละก็สาร เคมีในน้ำยาก็ยิ่งทำปฏิกิริยากับสีรถ ทำให้สีเกิดความเสียหายเร็วและง่ายขึ้นไปอีก เพราะอาจจะทำให้รถเป็นรอยด่างหรือสีหลุดได้
13. การใช้ยาขัดสีพิเศษชนิดต่างๆ การขัดสี เคลือบเงา หรือการใช้น้ำยาขัดสีพิเศษชนิดต่างๆ ล้วนเป็นเครื่องสำอางประทินโฉมให้แก่พาหนะสำหรับผู้รักรถทั้งหลาย เพื่อรถท่านจะได้ดูดีและสวยงามอยู่ตลอดเวลา แต่ก็มีข้อควรจำอยู่ก็คือ โภคภัณฑ์หรือยาขัดพิเศษมากมายหลายชนิดที่เจ้าของรถซื้อมาใช้นั้น ควรศึกษาวิธีการใช้และอ่านคำแนะนำแล้วทำตามอย่างเคร่งครัด เช่น ปริมาณที่ใช้ถูกสัดส่วนหรือไม่ หรือก่อนใช้ต้องมีการผสมและใช้สัดส่วนอย่างถูกต้องตามคำแนะนำหรือไม่ เป็นต้น มิฉะนั้นแล้ว ที่คิดว่าจะเกิดประโยชน์ก็อาจจะกลายเป็นโทษเหมือนดาบสองคมแทน เพราะสิ่งเหล่านี้อาจเกิดความเสียหายแก่สีรถได้โดยผู้ใช้คาดไม่ถึงก็ได้
14. ขับรถบนถนนลูกรังที่มีหินกรวด ขณะ ขับรถในถนนที่มีกรวดและหินนั้นอย่าขับรถเร็วเกินไป เพราะกรวดหรือหินซึ่งมีความแข็งและคมอย่างคาดไม่ถึงนั้น อาจกระเด็นถูกตัวถังรถและขูดสีรถให้หลุดหรือเป็นรอยได้ รถก็จะดูด่างเป็นลายพร้อยเป็นจุดๆทั้งคัน ทำให้ดูไม่สวย ซึ่งหากจุดไหนที่เป็นแผลลึกจนถึงเนื้อเหล็กแล้วด้วยจะเป็นปัญหาในการซ่อมสี มาก เพราะแทนที่จะขจัดปัญหาด้วยการแต้มสีเป็นจุดๆ กลับต้องทำสีใหม่ทั้งคันก็เป็นไปได้ ถ้าไม่ระมัดระวังกับเรื่องเล็กๆน้อยๆเช่นนี้
15. สีรถเกิดรอยถลอกหรือมีรอยขูดขีด อาจ เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย ถ้ารถของท่านจะไม่เคยมีรอยขูดขีดใดๆเลยตลอดระยะเวลาที่เป็นเจ้าของรถคัน หนึ่ง ซึ่งก็อาจจะมีการเผลอพลั้งไปบ้างโดยที่ตัวท่านเองก็ไม่ทันระวัง แต่ถ้าพบว่าสีรถมีรอยถลอกหรือรอยขีด ขูดเพียงเล็กน้อยแล้วละก็ หากยังไม่ซ่อมสีให้เหมือนเดิมเนื่องจากยังไม่มีเวลาหรือยังใจเย็นอยู่ ก็ควรป้องกันการเกิดสนิมเอาไว้ก่อน โดยใช้สีที่หาได้มาทาทับไว้ หรือทายาป้องกันสนิมเอาไว้ก่อน ซึ่งเป็นการป้องกันไม่ให้สนิมลุกลามได้ต่อไป
16. ระวังโลหะเครื่องแต่งกาย ท่าน คงสงสัยว่าทำไมต้องให้ระวังโลหะเครื่องแต่งกายด้วย ไม่เห็นจะเกี่ยวกับสีรถตรงไหนเลย ถ้าลองพิจารณาดูดีๆแล้วละก็ ท่านทราบหรือไม่ว่าเวลาที่ท่านยืนชิดหรือบุคคลอื่นที่ยืนชิดติดกับรถท่าน หรือเพียงยืนพิงนั้น ควรระวังโลหะจากเครื่องประดับที่ใช้แต่งตัว เช่น หัวเข็ขัด,นาฬิกา,หัวแหวน,หัวกระดุม หรือกำไล ฯลฯ จะไปขูดขีดกับรถทำให้สีเป็นรอยขูดขีดได้ เพราะถ้ามองข้ามการระวังสิ่งเล็กๆน้อยๆเหล่านี้แล้ว อาจจะเสียใจเสียดายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกก็ได้ เพราะอุตส่าห์ป้องกันดูแลระมัดระวังมาตลอด แต่สีรถกลับมาถูกทำลาย ด้วยอุปกรณ์ที่ไม่คาดคิดเพียงไม่กี่ชิ้นนี้
17. ระวังสารเคมีทำลายสีรถ รถ ของท่านที่ยังสีสดใหม่อยู่นั้น ไม่ควรให้สีที่ตัวถังถูกน้ำมันเบนซิน, ทินเนอร์, อาซีโทนคลอโรฟอร์มและสเปรย์น้ำหอม เพราะสิ่งเหล่านี้เองที่จะทำให้สีรถเกิดเป็นสีด้านขึ้นมาได้ถ้าผิวสีรถได้ รับการสัมผัสจากสารผสมเคมีเหล่านี้เข้า ดังนั้นเวลาที่ท่านเติมน้ำมัน หรือรถมีโอกาสเข้าใกล้กับสารเคมีดังกล่าวมาแล้วนั้น ให้ระมัดระวังการถูกสัมผัสตัวถังรถด้วย
17. ระวังสารเคมีทำลายสีรถ รถ ของท่านที่ยังสีสดใหม่อยู่นั้น ไม่ควรให้สีที่ตัวถังถูกน้ำมันเบนซิน, ทินเนอร์, อาซีโทนคลอโรฟอร์มและสเปรย์น้ำหอม เพราะสิ่งเหล่านี้เองที่จะทำให้สีรถเกิดเป็นสีด้านขึ้นมาได้ถ้าผิวสีรถได้ รับการสัมผัสจากสารผสมเคมีเหล่านี้เข้า ดังนั้นเวลาที่ท่านเติมน้ำมัน หรือรถมีโอกาสเข้าใกล้กับสารเคมีดังกล่าวมาแล้วนั้น ให้ระมัดระวังการถูกสัมผัสตัวถังรถด้วย
18. ระวังขณะเติมน้ำมันเบรก ใน การเติมน้ำมันเบรกทุกครั้ง ระวังอย่าให้น้ำมันเบรกถูกสีรถ เพราะน้ำมันเบรกเป็นอีก 1 ในศัตรูอันตรายสำหรับรถของท่าน เพราะคุณสมบัติที่ร้ายกาจของมันนั้นก็คือ จะกัดสีตัวถังรถทำให้สีด่าง และสีซีดลงดูไม่สดใสดังเดิม ดังนั้นถ้าน้ำมันเบรกถูกสีรถควรรีบล้างออกด้วยน้ำสะอาดทันทีก่อนจะสายเกิน แก้
19. โทษของน้ำมันก๊าด ท่าน เจ้าของรถหลายคันมีความเชื่อว่า การล้างรถนั้นต้องใช้น้ำมันก๊าดผสมลงในน้ำที่ใช้ล้างรถด้วย เพื่อเป็นการเพิ่มความมันเงาให้แก่รถ นับว่าเป็นความเข้าใจที่ผิดถนัดเลย เพราะว่าน้ำมันก๊าดเป็นอีกหนึ่งตัวการทำลายสีผิวรถที่สดใส ให้กลายเป็นความหม่นหมองได้ไม่ยาก เมื่อทราบตรงนี้แล้วถ้าท่านยังรักและอยากจะทะนุถนอมรถให้อยู่นานๆอยู่ละก็ เลิกล้มความเชื่อเดิมๆกันไปได้เลย
20. การติดกาวซ่อมแซมรถ ใน บางครั้งก็ต้องมีการดูแลซ่อมแซมชิ้นส่วนของรถที่มีจุดบกพร่องกันบ้างตามอายุ และระยะเวลาในการใช้งาน เช่นยางที่ติดขอบประตู หรือยางที่ติดขอบกระจกเกิดหลุดลอกออกมา จำเป็นที่ท่านเจ้าของรถต้องติดกาวให้สวยงามและใช้งานได้คงเดิม แต่ควรระวังเวลาที่ใช้กาวยางติดขอบประตูหรือขอบกระจกนั้นจะไปถูกสีรถเอาได้ และจะทำให้สีลอกหลุดหรือเป็นรอยด่างที่ตัวถังรถ
21. สีรถยนต์หมดอายุหรือเสื่อมคุณภาพ หาก ท่านสังเกตว่ารถคันที่ขับอยู่ 4-5 ปีมานั้นดูสีซีดหรือจางลงจนมองเห็นได้ชัด แสดงว่าสีได้เวลาหมดอายุการใช้งานหรือเสื่อมคุณภาพแล้ว อย่าใจเย็นปล่อยไว้จนรอให้สีแตกลายงา เพราะทำให้ซ่อมสียากและยิ่งต้องเสียเงินมากขึ้น ควรเตรียมกระเป๋าสตางค์เอาไว้แล้วนำรถไปซ่อมสีใหม่ แล้วทีนี้รถก็จะเหมือนรถใหม่อีกรอบหนึ่งด้วย แถมเป็นการช่วยประหยัดเงินได้มากกว่าที่จะปล่อยไว้นานจนเกินไป เดี๋ยวจะกลายเป็นเสียน้อยเสียยากเสียมากเสียง่ายนะ
22. เช็ดรถเมื่อเปียกฝน ถ้า รถยนต์โดยเฉพาะรถที่มีสีใหม่ มีอันต้องเปียกปอนน้ำโดยตากฝนก็ดี ลุยน้ำในที่ชื้นแฉะมาก็ดี ในน้ำนั้นอาจจะมีกรดที่ทำปฏิกิริยากับสีรถ ทำให้สีด่างเป็นลายไม่สวย เมื่อจอดรถหรือเลิกใช้งานควรใช้ผ้าแห้งเช็ดรอยเปียกให้แห้งสะอาดก่อน เป็นการป้องกันไว้ก่อน