
การที่จะทำให้สีรถดูสวยงามเหมือนใหม่อยู่เสมอก็คือ การหมั่นทำความสะอาดอยู่บ่อยๆ แล้วก็ไม่ใช่สักแต่ว่าจะล้างทำความสะอาดกันอย่างเดียว ควรจะรู้วิธีการที่ถูกต้องด้วย ไม่เช่นนั้นอาจกลับกลายเป็นว่าคุณกำลังทำลายสีรถยนต์คันงามของคุณอย่างไม่รู้ตัว
ดังนั้นควรจะหลีกเลี่ยงหรือป้องกันไว้ก่อนจะเป็นการดี ส่วนปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อสีและตัวถัง ได้แก
ฝุ่นและสิ่งสกปรกบนท้องถนน เช่น เขม่า แมลง
มูลนก สารประกอบประเภทด่าง ยางไม้ และสารเคมีต่างๆ
ซึ่งสามารถทำลายสีรถได้ถ้าปล่อยทิ้งไว้
- ฝุ่นควันในย่านโรงงานอุตสาหกรรมก็เป็น ‘ตัวร้าย’
ทำลายสีรถได้เช่นกัน ยิ่งมีสารประกอบประเภทซัลเฟอร์-ไดออกไซด์
ซึ่งบางทีเขาเรียกกันว่า ‘ฝนกรด’ นี่แหละเป็นตัวทำลายสีรถได้ดีนัก
- เขตชายฝั่งทะเลซึ่งมีความชื้น
และไอเกลือผสมปะปนอยู่ในบรรยากาศ
รถบริเวณนั้นออกจะโชคไม่ดีสักหน่อยที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
- ภูมิอากาศแถบร้อน เช่น แสงอาทิตย์ที่ร้อนแรงมาก
อากาศที่มีความชื้นสูง รถที่มีสีอ่อนสามารถเกิดความร้อน 80 องศาเซลเซียส
และรถที่มีสีทึบ สามารถเกิดความร้อนถึง 120 องศาเซลเซียส ถ้าจอดทิ้งไว้กลางแดดนานๆ
อาจทำให้สีเริ่มแตกได้ โดยเฉพาะพื้นที่รับแสงอาทิตย์เต็มๆ เช่น บริเวณหลังคา
และฝากระโปรง
การล้างรถบ่อยๆ ทำให้สีตัวรถดูสดใสตลอดเวลา และไม่ปล่อยโอกาสให้บรรดา
‘ตัวบ่อนทำลาย’ ทั้งหลายได้มีเวลาเกาะอยู่ตามสีนานจนเกินไป แต่ทั้งนี้
การล้างรถควรจะต้องคำนึงถึงการปฏิบัติอย่างถูกวิธีด้วย
เล่มนี้จึงแนะนำวีธีการล้างรถที่ถูกต้องมาฝากกันด้วย
ปฏิบัติไม่ยากหรอกครับ...ตามนี้เลย
ฝุ่นและสิ่งสกปรกบนท้องถนน เช่น เขม่า แมลง
มูลนก สารประกอบประเภทด่าง ยางไม้ และสารเคมีต่างๆ
ซึ่งสามารถทำลายสีรถได้ถ้าปล่อยทิ้งไว้
- ฝุ่นควันในย่านโรงงานอุตสาหกรรมก็เป็น ‘ตัวร้าย’
ทำลายสีรถได้เช่นกัน ยิ่งมีสารประกอบประเภทซัลเฟอร์-ไดออกไซด์
ซึ่งบางทีเขาเรียกกันว่า ‘ฝนกรด’ นี่แหละเป็นตัวทำลายสีรถได้ดีนัก
- เขตชายฝั่งทะเลซึ่งมีความชื้น
และไอเกลือผสมปะปนอยู่ในบรรยากาศ
รถบริเวณนั้นออกจะโชคไม่ดีสักหน่อยที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
- ภูมิอากาศแถบร้อน เช่น แสงอาทิตย์ที่ร้อนแรงมาก
อากาศที่มีความชื้นสูง รถที่มีสีอ่อนสามารถเกิดความร้อน 80 องศาเซลเซียส
และรถที่มีสีทึบ สามารถเกิดความร้อนถึง 120 องศาเซลเซียส ถ้าจอดทิ้งไว้กลางแดดนานๆ
อาจทำให้สีเริ่มแตกได้ โดยเฉพาะพื้นที่รับแสงอาทิตย์เต็มๆ เช่น บริเวณหลังคา
และฝากระโปรง
การล้างรถบ่อยๆ ทำให้สีตัวรถดูสดใสตลอดเวลา และไม่ปล่อยโอกาสให้บรรดา
‘ตัวบ่อนทำลาย’ ทั้งหลายได้มีเวลาเกาะอยู่ตามสีนานจนเกินไป แต่ทั้งนี้
การล้างรถควรจะต้องคำนึงถึงการปฏิบัติอย่างถูกวิธีด้วย
เล่มนี้จึงแนะนำวีธีการล้างรถที่ถูกต้องมาฝากกันด้วย
ปฏิบัติไม่ยากหรอกครับ...ตามนี้เลย
วิธีการดูแลรักษาสีรถยนต์อย่างง่ายๆ
ควรล้างรถสัปดาห์ละครั้ง หรือเมื่อสีเริ่มสกปรก
- ล้างน้ำมันเบนซินน้ำมันเครื่อง จาระบีหรือน้ำมันเบรกออกทันที
เมื่อเปื้อนสีรถ แม้ว่าสีรถนั้นจะเป็นยี่ห้อพิเศษที่ทนน้ำมันเบรกทนไฟก็ตาม
- ควรขจัดแมลงที่ติดตามตัวถังก่อนที่จะทำการล้างรถ
- ควรทำความสะอาดตามขอบประตู ฝากระโปรงหน้า-หลังอย่างทั่วถึง
- ในช่วงฤดูฝนควรทำความสะอาดค่อนข้างบ่อย อย่าไปคิดว่าเดี๋ยวฝนตกรถก็เปรอะเปื้อนอีก เนื่องจากโคลนที่เกาะตามตัวถังเมื่อเพิ่มจำนวนขึ้นจะทำให้ล้างยาก และเป็นอันตรายกับสีรถ
- ในการล้างรถ ขั้นแรกควรใช้น้ำฉีดล้างสิ่งสกปรกให้ละลายเสียก่อน หรือใช้น้ำเปล่าราดให้โชกตลอดทั่วทั้งคัน จากนั้นใช้ฟองน้ำหรือผ้านุ่มเช็ดถูเบาๆ อย่าถูแบบกดแรงๆ หรือซ้ำซากในที่เดียว ถ้าใช้น้ำฉีดล้างก็ควรฉีดเบา ๆ
- เริ่มทำความสะอาดจากด้านบนก่อน โดยเริ่มจากหลังคาลงมายังส่วนฝากระโปรงรถสำหรับส่วนล่างของรถ หรือล้อควรล้างในขั้นสุดท้าย และอย่าลืมแยกฟองน้ำที่ใช้ล้างต่างหาก อย่าใช้ปะปนกับอันที่ใช้ล้างตัวรถ
- ถ้าใช้พวกแชมพูในการล้างด้วย ต้องล้างน้ำสะอาดอีกครั้งหลังจากใช้แชมพูแล้ว และอย่าใช้ผงซักฟองล้างรถเป็นอันขาด
- เช็ดรถให้แห้งด้วยผ้าชามัวส์ หรือผ้านุ่มสะอาด ตรวจดูให้ทั่วอย่าให้มีหยดน้ำหลงเหลืออยู่บนตัวรถ มิฉะนั้นเวลาแห้งมันจะทิ้งรอยคราบขาวๆ เอาไว้ ยิ่งเป็นรถที่มีสีทึบจะเห็นได้อย่างชัดเจน ส่วนรอยสกปรกที่ยังตกค้างอยู่บนพื้นผิวสี ควรเช็ดออกด้วยน้ำยาทำความสะอาดทันที
ทั้งหมดนี้คือพื้นฐานการดูแลสีรถให้อยู่ยืนยาวคงทน แต่นอกเหนือจากนี้ยังมีรายละเอียดต่างๆ เช่น การเคลือบสี ทำความสะอาดตัวถังรถ ฯลฯ ที่เป็นปลีกย่อยอีกมาก ไว้โอกาสหน้าคงได้มาแนะนำกันต่อไปนะครับ
ควรล้างรถสัปดาห์ละครั้ง หรือเมื่อสีเริ่มสกปรก
- ล้างน้ำมันเบนซินน้ำมันเครื่อง จาระบีหรือน้ำมันเบรกออกทันที
เมื่อเปื้อนสีรถ แม้ว่าสีรถนั้นจะเป็นยี่ห้อพิเศษที่ทนน้ำมันเบรกทนไฟก็ตาม
- ควรขจัดแมลงที่ติดตามตัวถังก่อนที่จะทำการล้างรถ
- ควรทำความสะอาดตามขอบประตู ฝากระโปรงหน้า-หลังอย่างทั่วถึง
- ในช่วงฤดูฝนควรทำความสะอาดค่อนข้างบ่อย อย่าไปคิดว่าเดี๋ยวฝนตกรถก็เปรอะเปื้อนอีก เนื่องจากโคลนที่เกาะตามตัวถังเมื่อเพิ่มจำนวนขึ้นจะทำให้ล้างยาก และเป็นอันตรายกับสีรถ
- ในการล้างรถ ขั้นแรกควรใช้น้ำฉีดล้างสิ่งสกปรกให้ละลายเสียก่อน หรือใช้น้ำเปล่าราดให้โชกตลอดทั่วทั้งคัน จากนั้นใช้ฟองน้ำหรือผ้านุ่มเช็ดถูเบาๆ อย่าถูแบบกดแรงๆ หรือซ้ำซากในที่เดียว ถ้าใช้น้ำฉีดล้างก็ควรฉีดเบา ๆ
- เริ่มทำความสะอาดจากด้านบนก่อน โดยเริ่มจากหลังคาลงมายังส่วนฝากระโปรงรถสำหรับส่วนล่างของรถ หรือล้อควรล้างในขั้นสุดท้าย และอย่าลืมแยกฟองน้ำที่ใช้ล้างต่างหาก อย่าใช้ปะปนกับอันที่ใช้ล้างตัวรถ
- ถ้าใช้พวกแชมพูในการล้างด้วย ต้องล้างน้ำสะอาดอีกครั้งหลังจากใช้แชมพูแล้ว และอย่าใช้ผงซักฟองล้างรถเป็นอันขาด
- เช็ดรถให้แห้งด้วยผ้าชามัวส์ หรือผ้านุ่มสะอาด ตรวจดูให้ทั่วอย่าให้มีหยดน้ำหลงเหลืออยู่บนตัวรถ มิฉะนั้นเวลาแห้งมันจะทิ้งรอยคราบขาวๆ เอาไว้ ยิ่งเป็นรถที่มีสีทึบจะเห็นได้อย่างชัดเจน ส่วนรอยสกปรกที่ยังตกค้างอยู่บนพื้นผิวสี ควรเช็ดออกด้วยน้ำยาทำความสะอาดทันที
ทั้งหมดนี้คือพื้นฐานการดูแลสีรถให้อยู่ยืนยาวคงทน แต่นอกเหนือจากนี้ยังมีรายละเอียดต่างๆ เช่น การเคลือบสี ทำความสะอาดตัวถังรถ ฯลฯ ที่เป็นปลีกย่อยอีกมาก ไว้โอกาสหน้าคงได้มาแนะนำกันต่อไปนะครับ